Saturday, November 3, 2012

กิจกรรม “กรอกน้ำ”

กิจกรรม “กรอกน้ำ” หนึ่งในหลักสูตร “โครงการลูกแก้ว” สำหรับชั้นเตรียมอนุบาลของโรงเรียนอนุบาลจันทร์เจ้า
กิจกรรม “กรอกน้ำ” หนึ่งในหลักสูตร “โครงการลูกแก้ว” สำหรับชั้นเตรียมอนุบาลของโรงเรียนอนุบาลจันทร์เจ้า

ทำไมต้องเรียนกรอกน้ำ?

เพราะสำหรับเด็กเล็กแล้วสมาธิเป็นสิ่งสำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้า ชั้นอนุบาล ดังนั้นการตักน้ำใส่ขวดเป็นการฝึกให้เด็กมีสมาธิ ผ่านการเล่นน้ำตามแบบที่เด็กๆ ชอบ

เรียนอย่างไร?
ดูพื้นฐานอาจเป็นการเล่นทั่วๆ ไป แต่คุณครูจะเลือกสถานที่ที่เหมาะสม เช่น ใต้ต้นไม้ เพื่อให้เด็กเห็นเงาในน้ำ หรือที่ที่มีอากาศถ่ายเท ครูทำหน้าที่เป็นนักพากย์ในสนามที่สั่งให้เด็กๆ ทำอย่างช้าๆ และพูดคุยด้วยเสียงระดับกลาง เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย ให้เด็กพูดตามจินตนาการ หรือเล่าบางสิ่งบางอย่าง และสุดท้ายหลังจบการเรียนรู้แล้ว ให้เด็กเก็บสิ่งของเข้าที่

“เรียนเป็นเล่น เล่นเป็นเรียน เป็น การเตรียมความพร้อมที่ดีก่อนเข้าชั้นอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลจันทร์เจ้าได้ สร้างสรรค์ขึ้นสำหรับเด็กๆ เพื่อสร้างเจนตคติสนุกในการเรียนรู้และฝึกการประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้าม เนื้อมือและตา

กิจกรรม “กรอกน้ำ”  ถือว่าเป็นกิจกรรมทดลองวิทยาศาสตร์อย่างง่ายๆ สำหรับเด็กเล็กๆ ตั้งแต่สังเกตุรูปร่างของขวด การไหลของน้ำเข้าไปในขวดจนเต็มขวด ทำให้เกิดเสียง แต่ละขั้นตอนคุณครูก็จะสอดแทรกสาระการเรียนรู้เข้าไปด้วยค่ะ ทำให้เด็กๆ สนุกและมีความสุขในการเรียนรู้มากค่ะ และครูดาก็จะพูดถึงการใช้ประโยชน์จากน้ำ เพื่อให้เด็กเห็นคุณค่าของน้ำ เกิดความตระหนักในการใช้น้ำอย่างคุ้มค่า บนหลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียง

เมื่อ “เด็ก + น้ำ = ความสนุก” แล้วที่จันทร์เจ้าใช้วีธีการอย่างไร ให้การเล่นเกิดเป็นการเรียนรู้?

ด้วยวิธีง่ายๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถสอน เด็กๆ ได้เช่นกัน
ครูดาให้คำแนะนำการสอนไว้ว่า “เด็กกับน้ำเป็นสิ่งที่คู่กัน เพราะในธรรมชาติของเด็กวัย 2-3 ขวบ จะชอบเล่นน้ำอยู่แล้ว ซึ่งการเล่นน้ำทำให้เกิดการเรียนรู้ โดยผ่านอายตนะต่างๆ คือ ตาได้เห็น หูได้ฟังเสียง จมูกได้กลิ่น มือได้สัมพัส และจิตใจที่เบิกบาน แต่ไม่ต้องให้ชิมนะคะ ^_^




           กิจกรรม “กรอกน้ำ” คือ อีกหนึ่งกิจกรรมการเรียนการสอนในโครงการลูกแก้ว เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลจันทร์เจ้า เพื่อมุ่งสร้างให้เด็ก “เก่งคิด อ่านเขียน เรียนสนุก สร้างสุขสู่วิถีชีวิตพอเพียง”
อาจารย์หม่อมดุษฎี บริพัตร ณ อยุธยา
ประธานที่ปรึกษาโครงการลูกแก้ว/ผู้ทรงคุณวุณฒิ


สมุดบันทึก ผู้อำนวยการเอื้ออำไพ สุวรรณยืน
โรงเรียนอนุบาลจันทร์เจ้า www.janjao.ac.th

นวัตกรรมของฉัน คมนาคมน่ารู้

นวัตกรรมของฉัน คมนาคมน่ารู้

ป้ายภาพ "การคมนาคม"
นักเรียนสามารถวางตำแหน่งประเภทของรถยนต์ต้องอยู่บนถนน
ชาร์ตรูปภาพสีสัน
           - การออกแบบนวัตกรรมสื่อการสอน  สำหรับนักเรียนอนุบาล1 - 3
           - เป็นการออกแบบสื่อชนิดป้ายรูปภาพ  โดยมีเกมส์การศึกษาสอดแทรกอยู่ด้วย
และนำไปสอนสำหรับชั้นอนุบาล 3  โดยมีหน่วยการเรียนเรื่อง  "การคมนาคมปลอดภัย"
          - นำไปทดลองใช้กับนักเรียนอนุบาล 3/2  มีนักเรียน  25 คน

นักเรียนมีความสนใจกับเกมส์ในการวางตำแหน่งต่างๆ
ผลสรุป
จากการนำสื่อไปทดลองใช้กับนักเรียนอนุบาล 3/2  ปรากฎว่าผลที่ได้รับ ( ดี )
จุดประสงค์หน่วยการเรียน
1. นักเรียนสามารถบอกความหมายของการคมนาคมได้
2. นักเรียนสามารถบอกประเภทของการคมนาคมได้
3. นักเรียนสามารถความหมายของไฟจราจรได้
4. นักเรียนสามารถบอกพฤติกรรมที่ดีและไม่ดี  ในการโดยสารยานพาหนะได้  พร้อข้อควรปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง
5.นักเรียนสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของจำนวนผู้โดยสารในยานพาหนะในแต่ละประเภทได้
วัตถุประสงค์การทำสื่อ
1. เป็นสื่อประหยัดไม่มีค่าใช้จ่าย
2. สีสันสะดุดตา  นักเรียนเกิดความสนใจได้
3. สามารถให้ความรู้ตามจุดประสงค์ตามหน่วยการเรียนรู้ได้
ข้อแนะนำในการทำสื่อ
1. ควรมีตัวหนังสือเพื่อให้นักเรียนอ่าน
2. ตัวสื่อไม่จำเป็นต้องมีสีสันมากเกินไป
3. ควรระบุตัวยานพหนะให้มีความชัดเจนมากขึ้น
              การออกแบบสื่อการเรียนต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  ครูไม่ควรยึดของเดิมและใช้ของเดิมที่มีอยู่  หรือตามหนังสือเรียน  ควรมีสิ่งแปลกใหม่  ที่ยังคงมีความเหมาะสมกับวัยของนักเรียน  หรือตามพัฒนาการของเด็กนักเรียนมีความสำคัญอย่างมากๆ  เพราะฉนั้นข้อแนะนำครูก็จะนำไปปรับปรุงงานสื่อให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น  (ขอบคุณคะ) 

โรงเรียนอนุบาลกองบิน 7


ประวัติของโรงเรียน
      โรงเรียนอนุบาลกองบิน 7 ตั้งอยู่ภายในกองบิน 7 หมู่ 5 ต.มะลวน อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี สังกัดสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เขตพื้นที่การศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 2 โดยอดีตผู้บังคับการกองบิน 7 คือ นาวาอากาศเอก กฤษณะ สิทธิทูล ยศในขณะนั้น เป็นผู้ก่อตั้ง เปิดทำการสอนครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2525 ปัจจุบันมี
           นาวาอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล เป็นผู้ลงนามแทนผู้รับใบอนุญาต
           นางวรรณา แตงเพ็ชร เป็นครูใหญ่
      เปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 ถึง ชั้นอนุบาล 3 และชั้นเด็กเล็ก โดยโรงเรียนได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องโดยลำดับ และได้รับการประกันคุณภาพการศึกษาจาก สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพ (สมศ.) โดยได้รับการสนับสนุนด้วยดีตลอดมาจาก นายกสมาคมแม่บ้านทหารอากาศ, กองบิน 7 และประธานชมรมแม่บ้านทหารอากาศ กองบิน 7 โรงเรียนอนุบาลกองบิน 7 มีความมุ่งมั่นพัฒนาจัดกระบวนการเรียนการ
สอน เน้นนักเรียนเป็นสำคัญปรับการเรียน เปลี่ยนการสอนเพื่อคุณภาพของเด็กปฐมวัยตามความมุ่งหวังของทุกฝ่าย ให้เป็นเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพสู่สังคมต่อไป


จุดประสงค์การจัดตั้งโรงเรียน
      2.1 เพื่อให้บริการด้านการศึกษา ระดับปฐมวัย ให้แก่บุตรหลาน ข้าราชการ ลูกจ้างพนักงานราชการของกองบิน 7 และชุมชนใกล้เคียง
      2.2 เปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้นเด็กเล็ก และชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึง ชั้นอนุบาลปีที่ 3
      2.3 เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้เด็กได้มีพัฒนาการที่ดีทั้ง 4 ด้าน คือ ร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา พร้อมที่จะเข้ารับการศึกษาในระดับประถมศึกษาต่อไป
      2.4 สร้างสรรค์ และมุ่งเน้นให้เด็กมีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่พึงประสงค์ แก่เด็กปฐมวัย สร้างระเบียบวินัย ช่วยให้เด็กมีความรับผิดชอบ และดำเนินชีวิตในสังคมอย่างมีความสุขต่อไป


การบริหารการจัดการศึกษาและกิจกรรม
      การบริหารการจัดการศึกษา
           โรงเรียนอนุบาลกองบิน 7 ปฏิบัติงานตามแผนงาน / โครงการ / กิจกรรมของปีการศึกษา 2550 โดยการจัดการเรียนการสอน และการเลี้ยงดูเด็กของโรงเรียนใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ซึ่งเป็นการปูพื้นฐานเตรียมความพร้อมให้เด็กมีพัฒนาการดีทั้ง 4 ด้าน โดยผ่านการจัดกิจกรรมประจำวันแบบบูรณาการ โดยครูได้คำนึงถึงความแตกต่างของเด็กแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ เพื่อเป็นการพัฒนาและส่งเสริมให้เด็กเป็นบุคคลที่มีคุณภาพและอยู่ใน สังคมอย่างมีความสุข


      กิจกรรมของนักเรียน
           โรงเรียนได้จัดกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัย ตามแผนงานของโรงเรียนหลายกิจกรรมอาทิ เช่น
                1. กิจกรรมวันไหว้ครู
                2. กิจกรรมการแข่งขันทักษะทางวิชาการ
                3. กิจกรรมวันแม่
                4. กิจกรรมทัศนศึกษาภายในกองบิน 7
                5. กิจกรรมวันพ่อ
                6. กิจกรรมวันปีใหม่
                7. กิจกรรมวันเด็ก
                8. กิจกรรมการแข่งขันกีฬาอนุบาล
                9. กิจกรรมวันบัณฑิตน้อย
                10. กิจกรรมงานปิดภาคเรียน
                11. กิจกรรมเยี่ยมบ้านผู้ปกครองนักเรียนในโครงการสายสัมพันธ์บ้าน – โรงเรียน


การพัฒนาโรงเรียนและการเรียนการสอน
      ด้านบุคลากร
           1. จัดส่งครู และเจ้าหน้าที่เข้ารับการอบรมสัมมนา ในหลักสูตรต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ การเรียนการสอนของการจัดการศึกษาปฐมวัยตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ เช่น การอบรมคุณธรรม จริยธรรมสำหรับเด็กปฐมวัย การส่งเสริมการคิดพลังสมองเด็กปฐมวัย เป็นต้น
           2. ส่งเสริมบุคลากรของโรงเรียนให้เป็นผู้ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ พัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ในยุคปฏิรูปการศึกษาปัจจุบัน
           3. ส่งเสริมให้บุคลากร และนักเรียน มีคุณธรรม จริยธรรม มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ รู้จักเสียสละ และการมีน้ำใจ ฯลฯ



      ด้านอาคารสถานที่
           1. จัดสภาพแวดล้อมบรรยากาศภายในโรงเรียนให้เอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียน
           2. ปรับปรุงห้องเรียนเพิ่มเติม 1 ห้องเรียน สำหรับเปิดใช้เป็นห้องอนุบาล 3 / 3 เพื่อเตรียมรองรับนักเรียนในปีการศึกษา 2551
           3. จัดซื้อเครื่องเล่นชุดสนามเพิ่มเติม เพื่อเป็นการส่งเสริมพัฒนาการให้นักเรียน
           4. จัดทำป้ายจราจรและเนินสะดุดเพิ่มเติม บริเวณด้านหน้าโรงเรียนเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ



      ด้านสื่อการเรียนการสอน
           1. โรงเรียนจัดทำโครงการสื่อเพื่อการเรียนรู้ของนักเรียนและพัฒนาปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ
           2. พัฒนาการเรียนการสอนให้ทัดเทียมโรงเรียนภายนอกหรือเหนือกว่า



      การจัดสวัสดิการ
           โรงเรียนอนุบาลกองบิน 7 จัดให้มีสวัสดิการพิเศษสำหรับนักเรียน ดังนี้
                1. บริการอาหารเสริม เพื่อสุขภาพของนักเรียน เช่น ข้าวต้ม นมสด นมถั่วเหลือง ในมื้อเช้าของทุกวัน
                2. บริการด้านสุขภาพ เช่น เคลือบฟลูออไรด์ หยอดวัคซีนโปลิโอ และตรวจสุขภาพนักเรียนเป็นรายคน จากแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาล กองบิน 7
                3. จัดสรรจำนวนนักเรียนเข้าเรียนต่อชั้น ป.1 ในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงของ จ.สุราษฎร์ธานี เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ปกครอง
                4. จัดทำประกันอุบัติเหตุให้กับนักเรียนทุกคน



      สำหรับปีการศึกษา 2553 ขณะนี้กำลังเปิดรับสมัครนักเรียนอนุบาล 1 ผู้ปกครองท่านใดสนใจส่งบุตรหลานเข้าเรียน กรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ โรงเรียนอนุบาล กองบิน 7 โทร. 077-268200 ต่อ 65923 ในวันและเวลาราชการ

กิจกรรมสอนน้องหนูรู้จักรถไฟ

"Project Approach"หรือการเรียนการสอนแบบโครงงาน เป็นกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน ที่โรงเรียนอนุบาลหลายแห่งได้นำไปใช้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนตามเรื่องและสิ่งต่างๆที่พวกเขา สนใจ นักเรียนได้มีโอกาสในการแสดงความคิดเห็น ค้นคว้า ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 เวปไซต์รถไฟไทยดอทคอม ได้รับเกียรติจากโรงเรียนอนุบาลมณีรัตน์ ซึ่งตั้งอยู่ ณ ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ซอย 18 ให้ไปเป็นวิทยากรมอบความรู้เกี่ยวกับรถไฟให้แก่น้องๆ ระดับชั้นอนุบาล 1 ตามโครงการ "Project Approach" ของทางโรงเรียน ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความน่ารักของน้องๆ ที่ให้ความสนใจเป็นอย่างดี

ทางเวปไซต์จะได้ลงรายละเอียดของกิจกรรมครั้งนี้ ผ่านทางกระทู้นี้ครับ

Click on the image for full size

การพิจารณา "โรงเรียน" ให้เจ้าตัวเล็ก



  การพิจารณา "โรงเรียน" ให้เจ้าตัวเล็ก

          ได้มีการศึกษาถึงปัจจัยที่ผู้ปกครองใช้ในการเลือกโรงเรียนอนุบาลเอกชน ให้บุตรหลานเข้าเรียน และความคาดหวังของผู้ปกครอง เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนอนุบาลเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น ผู้ปกครองของโรงเรียนอนุบาลเอกชนในเขตกรุงเทพ โดยการสุ่มและใช้แบบสอบถามเพื่อทำการวิเคราะห์ ซึ่งผลการวิจัยเป็นดังต่อไปนี้ ปัจจัยในการตัดสินใจเลือกโรงเรียนอนุบาลสำหรับลูกๆ คือ ปัจจัยเกี่ยวกับโรงเรียน ครูผู้สอน ประสบการณ์การสอน การบริหารความปลอดภัย การบริการอาหารและสุขภาพของเด็กอนุบาล การสร้างความสัมพันธ์กับผู้ปกครอง และค่าใช้จ่ายต่างๆโดยเฉพาะค่าเทอม
           สิ่ง ที่ดีที่สุดคือการบุกไปเยี่ยมชมโรงเรียน ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการเลือก ซึ่งมีหลายๆโรงเรียนได้เปิดให้ผู้ปกครองเข้าชม โดยเฉพาะกิจกรรมการเรียนในห้องเรียน ในขณะที่กำลังทำการสอน อย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตให้ดีว่าไม่ได้เป็นการจัดฉาก หรือจัดการสอนที่ประทับใจ เราต้องเดินดู พูดคุยกับคุณครู นักเรียน เพื่อจะได้เก็บข้อมูลที่เป็นความจริง ยิ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่มีโอกาสพูดคุยกับผู้ปกครอง ที่ส่งลูกๆมาเรียนที่โรงเรียนนี้ ยิ่งจะทำให้เราได้ข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนในแง่ต่างๆมากขึ้น

สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตในขณะเยี่ยมชมโรงเรียน
- ความสะอาดของห้องเรียน อาคาร สนามเด็กเล่น โรงอาหาร ห้องน้ำ
- ความ ปลอดภัยของสถานที่เรียน เช่น สถานที่ตั้งของสระว่าน้ำ การจราจรด้านหน้าโรงเรียนมีควันจากท่อไอเสียรถยนต์ หรือมีเสียงรถยนต์ดังเข้ามาในโรงเรียน สะพานข้ามถนน สภาพพื้นที่ด้านหลังโรงเรียน เช่น คูคลองซึ่งนักเรียนอาจจะพลัดตกลงไป หรือ ป่ารกซึ่งอาจจะมีสัตว์มีพิษเข้ามาในโรงเรียน
- จำนวน สิ่งอำนวย ความสะดวก เช่น จำนวนอุปกรณ์การสอน ขนาดของโต๊ะ และเก้าอี้ รวมไปถึงการจัดวางโต๊ะและเก้าอี้ว่าเหมาะสมกับขนาดของห้องเรียนหรือไม่ อุปกรณ์ได้การกีฬามีพอเีพียงหรือไม่ จำนวนเครื่องเล่นต่างๆ
- สถานที่จอดรถสำหรับการรับ-ส่งนักเรียน
- การ ดูแลเรื่องความปลอดภัย เช่นการแลกบัตรสำหรับผู้เข้ามาในโรงเรียน วิธีการรับนักเรียนกลับบ้าน ห้องพยาบาล และนางพยาบาลในการช่วยเหลือนักเรียนเบื้องต้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุ - จำนวน ของตู้น้ำดื่ม และสภาพของตู้น้ำดื่ม สภาพของตู้น้ำดื่มจะมีผลอย่างมากับสุขภาพของนักเรียน ถ้าตู้น้ำเก่า เป็นสนิม หรือมีการเชื่อมด้วยตะกั่ว ก็จะทำให้นักเรียนดื่มน้ำที่มีสารเจือปนที่เป็นพิษเข้าไป หรือแม้กระทั้งปัญหาเรื่องไฟฟ้าดูด อาจจะเกิดขึ้นได้กับตู้น้ำที่มีสภาพเก่า
- นอก จากนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรหาเวลาไปเยี่ยมชมโรงเรียนหลายๆครั้ง ในเวลาที่ต่างกัน เพื่อจะได้เห็นสภาพแวดล้อมต่างๆและหลีกเลี่ยงการจัดฉากของโรงเรียน อาจจะไปในช่วงพักกลางวัน ดูอาหารกลางวันที่เด็กนักเรียนได้รับ ดูสนามเด็กเล่นว่าเพียงพอสำหรับเด็กทั้งโรงเรียนหรือเปล่า
         นโยบาย และวัตถุประสงค์ของโรงเรียน จะทำให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจแนวคิดของโรงเรียน แนวทางการบริหารโรงเรียน แนวการสอนและการพัฒนานักเรียน ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่คุณครูจะต้องปฏิบัติตามในการสอนนักเรียน และยังทำให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจแนวทางการสอน ซึ่งเราจะได้ปรับการสอนเด็กเมื่ออยู่ที่บ้านให้สอดคล้องกับการสอนจาก โรงเรียน คุณพ่อคุณแม่อาจจะถามถึงรางวัลต่างๆ ที่โรงเรียนเคยได้รับ เพื่อจะได้เห็นศักยภาพทางด้านต่างๆของโรงเรียน เช่นรางวัลโรงเรียนดีเด่น รางวัลชนะเลิศทางด้านดนตรี รางวัลชนะเลิศทางด้านศิลปะ ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นจุดเด่นของโรงเรียนมากขึ้น

คุณ พ่อคุณแม่อาจจะพูดคุยกับผู้อำนวยการ หรือคุณครูใหญ่เพื่อถามคำถาม และข้อเอกสารต่างๆมาทำการศึกษา เช่นอัตราสวนคุณครูกับจำนวนนักเรียน ข้อมูลเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันที่นักเรียนแต่ละคนต้องทำ หลักสูตรการเรียนต่างๆ

3. ตรวจสอบความสามารถของคุณครูผู้สอน และบุคลากรอื่นๆ ของโรงเรียน

ความ สามารถของคุณครูผู้สอน เป็นสิ่งสำคัญที่มีผลต้องการเรียนรู้ของเด็ก เราสามารถขอดูประวัติการเรียนและการสอนของคุณครู สังเกตจากการพูดคุย หรือการถามปัญหาต่างๆ เพื่อจะดูแนวคิดของคุณครู ดูภาษาที่ใช้ ลักษณะและบุคลิก
        สามารถเปรียบเทียบได้กับการ ที่คุณพ่อคุณแม่รับสมัครครูผู้สอนให้มาสอนลูกของตัวเอง เราคาดหวังให้ครูผู้สอนมีลักษณะ คุณสมบัติ และบุคลิกภาพอย่างไร คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถใช้แนวทางนี้พูดคุยกับคุณครู เพื่อดูว่าคุณครูมีคุณสมบัติตามที่เราคาดหวังไว้หรือไม่

4.ตรวจสอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องจ่ายเมื่อเลือกโรงเรียนแห่งนี้

       แน่นอนหนึ่งในค่าใช้จ่ายก็คือ ค่าเทอม แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องศึกษาให้ละเอียดว่ามีค่าใช้จ่ายอื่นๆที่สำคัญอีกหรือ เปล่า เพราะหลายๆครั้งโรงเรียนจะเลี่ยงการเก็บค่าเทอมที่สูง โดยเก็บเป็นค่าอื่นๆ เช่น ค่าการใช้คอมพิวเตอร์ ค่ากิจกรรมพิเศษ หรือแม้กระทั้งค่าแรกเข้า ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรจะขอเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายทั้งหมด และอาจจะต้องถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสินของสิ้นเปลืองที่ผู้ปกครอง ต้องรับผิดชอบ เช่น สมุดของโรงเรียน กระเป๋า เครื่องแบบ บัตรนักเรียน ชุดลูกเสือ เนตรนารี หรือ อนุกาชาด ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน ในกรณีที่คุณพ่อคุณแม่มารับเด็กได้ตอนเย็นๆ หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวรถยนต์รับส่งนักเรียน ทั้งหมดนี้เป็นอีกข้อมูลหนึ่งที่จะช่วยในการตัดสินใจเลือกโรงเรียนให้กับ ลูกๆของท่าน หรือยังช่วยในการวางแผนด้านการเงิน เพื่อให้การส่งลูกๆไปเรียนโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชน ไม่เกิดปัญหาขึ้นในภายหลัง เพราะการที่ต้องหยุดหรือย้ายโรงเรียน จะมีปัญหาที่ยุ่งยากต่างๆ ตามมา

ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก www.geocities.com

แผนกปฐมวัยเปิดการเรียนการสอน 3 ระดับชั้น คือ

แผนกปฐมวัยเปิดการเรียนการสอน  3 ระดับชั้น คือ

1.ระดับชั้นอนุบาล  3 ขวบ เปิดทำการสอน 3 ห้องเรียนๆ ละ 30 คน รวม 90 คน
2.ระดับชั้นอนุบาลศึกษาปีที่  1 เปิดทำการสอน 3 ห้องเรียนๆ ละ 30 คน รวม 90 คน
3.ระดับชั้นอนุบาลศึกษาปีที่  2 เปิดทำการสอน 3 ห้องเรียนๆ ละ 30 คน รวม 90 คน

     โดยเปิดรับนักเรียนตั้งแต่อายุ 4 ขวบเป็นต้นไป  โดยเกณฑ์การรับนักเรียนสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากประกาศโรงเรียนวัดบ้านนา  เรื่อง การรับนักเรียนเข้าเรียนแต่ละปีการศึกษา ซึ่งทางโรงเรียนจะประกาศแจ้งให้ทราบประมาณกลางเดือนมกราคมของทุกปี

โรงเรียนวัดบ้านนา (ฟินวิทยาคม) มีแนวการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยดังนี้
                1.  จัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยบูรณาการทางด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติผ่านการเล่นของเด็ก กล่าวคือ มีการฝึกให้เด็กรู้จักการใช้มือ ฝึกการสังเกตทางกายและทางตา ให้รู้จักขนาด สี และลักษณะต่าง ๆ รอบตัว รู้จักสร้างและประดิษฐ์ของเล่นของใช้ ฝึกให้รู้จักระมัดระวังรักษาของเล่นของใช้ รู้จักเก็บของเมื่อเล่นเสร็จ เพื่อปลูกฝังนิสัยความเป็นระเบียบเรียบร้อย ตามจุดมุ่งหมายของกระบวนการ 5 ส
                2.  จัดประสบการณ์ให้เหมาะสมกับวัย ความต้องการ ความสนใจ และระดับพัฒนาการของเด็ก โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และให้ทุกคนได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ
                3.  จัดประสบการณ์โดยการบูรณาการวิถีพุทธ โดยสร้างลักษณะนิสัยที่ดี สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม เน้นการกิน อยู่ ดู ฟัง อย่างเหมาะสม ตามหลักปฏิบัติไตรสิกขา (ศีล สมาธิ และปัญญา)

                4.  จัดประสบการณ์ให้เด็กได้เรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติจริงโดยให้เด็กได้มีโอกาสได้รับประสบการณ์ด้วยวิธีการต่าง ๆ แล้วกระตุ้นให้เด็กได้สะท้อนสิ่งที่ได้รับจากประสบการณ์ออกมาเพื่อพัฒนาทักษะใหม่ ๆ เจตคติใหม่ ๆ หรือวิธีการคิดใหม่ ๆ ในการจัดให้เด็กเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์นี้จัดโดยคำนึงถึงเวลา สถานที่ ภูมิปัญญาท้องถิ่น สื่อการเรียนการสอนและเทคโนโลยีที่มีอยู่ในท้องถิ่นเพื่อให้เด็กได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเรียนรู้

   กิจกรรมหลัก   



กิจกรรมหน้าเสาธง
   

กิจกรรมเคลื่อนไหว


   

     เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อย่างอิสระตามจังหวะและการเลียนแบบท่าทางการเคลื่อนไหว โดยใช้เสียงเพลง คำคล้องจอง การเล่าเรื่องราว การทำจังหวะและเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ มาประกอบการเคลื่อนไหวเพื่อให้ร่างกายของเด็กมีการเคลื่อนไหวอย่างประสานสัมพันธ์กัน

   

กิจกรรมเสริมประสบการณ์
   

กิจกรรมสร้างสรรค์

     เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ การทำกิจกรรมและการทำงานร่วมกันทั้งกลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ เด็กได้มีโอกาสฟัง พูด สังเกต แก้ปัญหา ใช้เหตุผล และลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนโดยจัดกิจกรรมด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น สนทนา อภิปราย สาธิต ทดลอง เล่านิทาน เล่นบทบาทสมมติ ร้องเพลง ท่องคำคล้องจอง ศึกษานอกสถานที่ เชิญวิทยากรมาให้ความรู้
   

   เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กแสดงอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการโดยใช้ศิลปะ เช่นการวาดภาพ การระบายสี การพิมพ์ภาพ การฉีกปะ การตัดปะ การร้อย รวมทั้งการประดิษฐ์และสร้างสรรค์ทางศิลปะ



   

กิจกรรมเสรี
   

กิจกรรมกลางแจ้ง

     เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาส ให้เด็กเล่นอิสระตามมุมเล่นมุมประสบการณ์หรือศูนย์การเรียน เช่น มุมบล็อก มุมเครื่องเล่นสัมผัส มุมหนังสือ มุมบ้าน โดยให้เด็กมีโอกาสเลือกเล่นอย่างเสรีตามความสนใจและความต้องการของเด็ก
   

     เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้มีโอกาสออกไปนอกห้องเรียน เพื่อออกกำลังเคลื่อนไหวร่างกายและแสดงออกอย่างอิสระ ได้แก่ การเล่นเครื่องเล่นสนาม การเล่นทราย เล่นน้ำ การเล่นกับอุปกรณ์กีฬา การเล่นการละเล่น

   

กิจกรรมเกมการศึกษา
   



     เป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาสติปัญญา มีกฎเกณฑ์ กติกาง่าย ๆ เด็กสามารถเล่นคนเดียวหรือเล่นเป็นกลุ่มได้ ช่วยให้เด็กรู้จักสังเกต คิดหาเหตุผล และเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสี รูปร่าง จำนวน  ประเภท และความสัมพันธ์เกี่ยวกับพื้นที่ ระยะ เช่น เกมจับคู่ แยกประเภท จัดหมวดหมู่ เรียงลำดับ โดมิโน ลอตโต ภาพตัดต่อ ตัดตามแบบ เป็นต้น
   



อนุบาล' กับการเรียนรู้เรื่องพอเพียง

'อนุบาล' กับการเรียนรู้เรื่องพอเพียง



ประกวด กิจกรรมบูรณาการระดับปฐมวัย-สื่อประกอบการเรียนรู้ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หนุนเด็กอนุบาลรู้เรื่อง "พอเพียง"

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : สถาบันวิจัยการเรียนรู้ ร่วมกับ คณะทำงานบูรณาการเศรษฐกิจพอเพียงสู่การเรียนการสอน จัดการประกวด “กิจกรรมบูรณาการระดับปฐมวัยและสื่อประกอบการเรียนรู้ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อเปิดโอกาสให้สถานศึกษาระดับปฐมวัยทั่วประเทศ ได้สร้างสรรค์กิจกรรมบูรณาการสำหรับเด็กปฐมวัยที่สอดคล้องกับเนื้อหาสาระตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ.2546 พร้อมสื่อประกอบการเรียนรู้ตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ส่งผลงานเข้าประกวด

ซึ่งในครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่โรงเรียนอนุบาลจะได้โชว์ผลงานความคิดสร้างสรรค์ บูรณาการกิจกรรมการเรียนรู้กับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับการจัดกิจกรรมหลัก 6 กิจกรรมได้อย่างผสมกลมกลืน และเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นว่า “เด็กอนุบาลก็เรียนรู้เรื่องความพอเพียงได้เช่นกัน”

สำหรับการจัดประกวดกิจกรรมบูรณาการระดับปฐมวัยและสื่อประกอบการเรียนรู้ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในครั้งนี้แม้จะเป็นครั้งแรก แต่ก็ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากโรงเรียนที่เปิดสอนในระดับอนุบาลทุกสังกัดทั่วประเทศ ส่งผลงานเข้าประกวดกว่า 223 โรงเรียน นับเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่โรงเรียนในระดับอนุบาลได้มีการตระหนักและน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาในการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย

ส่วนการจัดประกวดเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นรอบชิงชนะเลิศ โดยก่อนหน้านี้ได้มีการคัดเลือกโรงเรียนที่ผ่านการคัดเลือกในแต่ละภูมิภาคๆ ละ 1 โรงเรียน รวมเป็น 5 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนบ้านแพ้ววิทยา (ตี่ตง) จ.สมุทรสาคร, โรงเรียนมารีวิทยา จ.ปราจีนบุรี, โรงเรียนแก่นจันทร์วิทยา จ.เพชรบุรี, โรงเรียนบ้านท่าคุระ จ.สงขลา และศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.ยุหว่า จ.เชียงใหม่ มานำเสนอผลงาน เพื่อชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเงินรางวัล 50,000 บาท

สรุปผลการคัดเลือก เป็นดังนี้

โรงเรียนแก่นจันทร์วิทยา จังหวัดเพชรบุรี เรื่อง “มารักษาแหล่งท่องเที่ยวในชุมชน” ได้รับรางวัลชนะเลิศ พร้อมถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเงินรางวัล 50,000 บาท

ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.ยุหว่า จังหวัดเชียงใหม่ เรื่อง “เมล็ดข้าวสีทอง” ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 พร้อมถ้วยรางวัลและเงินรางวัล จำนวน 30,000 บาท

โรงเรียนมารีวิทยา จังหวัดปราจีนบุรี สื่อและกิจกรรมเรื่อง “ไม้ไผ่มหัศจรรย์” ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 พร้อมถ้วยรางวัลและเงินรางวัล จำนวน 10,000 บาท

โรงเรียนบ้านแผ้ววิทยา (ตี่ตง) จังหวัดสมุทรสาคร สื่อและกิจกรรมเรื่อง ประโยชน์ของพืช “พอเพียงแบบกล้วยกล้วย” และโรงเรียนท่าคุระ จังหวัดสงขลา สื่อและกิจกรรมเรื่อง “ลูกตาลบ้านเรา” ได้รับรางวัลชมเชยพร้อมโล่รางวัล และเงินรางวัลโรงเรียนละ 5,000 บาท และโรงเรียนที่ได้รับรางวัล “กิจกรรมการจัดการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงดีเด่น” คือโรงเรียนบ้านดงเสลา จังหวัดกาญจนบุรี สื่อและกิจกรรมเรื่อง ขนมพื้นบ้าน “หมี่สิ” ได้รับโล่พร้อมเงินรางวัล 3,000 บาท

อาจารย์สิรินดา ชินแสงทิพย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนแก่นจันทร์ วิทยา จังหวัดเพชรบุรี เปิดใจถึง การได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ว่า

“เกิดจากความร่วมมือร่วมใจกันระหว่างคณะครู ผู้บริหาร ตลอดจนผู้ปกรองและคนในชุมชนเป็นอย่างดี เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง มารักษาแหล่งท่องเที่ยวในชุมชน ซึ่งมีแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญในชุมชนคือ ชายทะเลชะอำ

"วัตถุประสงค์หลักในการจัดกิจกรรมดังกล่าวคือ ต้องการให้เด็กตระหนัก และเห็นความสำคัญ พร้อมที่จะร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่อยู่ในชุมชนโดยได้มีการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามาใช้ในการจัดกิจกรรมหลักทั้ง 6 กิจกรรม และเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมให้มากที่สุด

"ผลที่ได้จากการจัดกิจกรรมนอกเหนือจากรางวัลอันทรงเกียรตินี้แล้ว คือ เด็กของเราได้รับประโยชน์จากกิจกรรมนี้มากที่สุด ไม่เพียงแต่เด็กรู้จักความพอเพียงในบริบทที่เด็กๆ จะเรียนรู้ได้เท่านั้น เขายังสามารถนำสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาไปบอกต่อกับผู้ปกครองของเขาให้เข้าใจในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านเอกสารแผ่นพับที่พี่ๆ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 ช่วยน้องทำ ในโครงการพี่ช่วยน้องอีกด้วย”

การจัดประกวดกิจกรรมบูรณาการระดับปฐมวัยและสื่อประกอบการเรียนรู้ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในครั้งนี้ ไม่เพียงจะก่อเกิดความภาคภูมิใจให้แก่ โรงเรียน ครู อาจารย์ นักเรียน ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน แต่ยังจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในวงการการศึกษาระดับอนุบาลที่จะหันมาตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของการปลูกฝังจิตสำนึกด้านความพอเพียงให้กับเด็กตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันใจที่ดีให้กับเด็กตั้งแต่วันนี้และจะคงอยู่เรื่อยไปจนถึงอนาคต